เสียงเรียกร้องจากหัวใจชาวพุทธ!!!???

นี่คือ..เสียงเรียกร้องจากหัวใจที่บริสุทธิ์
เมื่อใดที่ความสมัครสมานสามัคคีมีในหัวใจชาวพุทธทุกคน
เมื่อนั้นความสงบสุขในบ้านเมือง...จักกลับมา
เพราะความขัดแย้งแตกแยก...นำไปสู่ความเสื่อม



เยาวชนไทย..คืออนาคตของชาติ กำลังรอการปลูกศีลธรรมโดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก

มูลเหตุหลักของความแตกแยกมุ่งโจมตีกันมาจากเรื่องคำสอน
คำสอนในพระพุทธศาสนา แบ่งได้ 3 ระดับ คือ...

1. คำสอนเพื่อประโยชน์ชาตินี้ เช่น ให้มีน้ำใจต่อกัน รักษาศีล ละเว้นอบายมุขคำสอนในระดับนี้ โดยภาพรวมชาวพุทธทุกกลุ่มสอนสอดคล้องกัน

2. คำสอนเพื่อประโยชน์ชาติหน้า เช่น เรื่องนรก สวรรค์ บุญบาป
คำสอนในระดับที่ 2 นี้ ส่วนใหญ่สอนตรงกัน มีบ้างที่สอนต่าง เช่น ท่านพุทธทาสปฏิเสธนรกสวรรค์ที่เป็นภพภูมิ

3. คำสอนเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง คือ การปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้น
คำสอนในระดับนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียด รู้ได้เฉพาะตน ชาวพุทธกลุ่มต่างๆ จึงมีหลักปฏิบัติที่หลากหลาย อาทิ สายพุทโธ สายสัมมาอะระหัง สายพองหนอยุบหนอ สายมโนมยิทธิ

ไม่ต้องกลัวว่าคำสอนของสายใดจะผิด จะทำให้พระธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยน เพราะพระธรรมวินัยสรุปรวมอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาพระไตรปิฎกได้ เพราะถ้าไปแก้เนื้อหาตอนใดตอนหนึ่ง เพียงเอาไปเทียบกับเนื้อหาของพระไตรปิฎกที่มีการพิมพ์เผยแพร่ไปในประเทศต่างๆ แล้วนับล้านๆ ชุด ก็จะรู้ได้ทันที จะเกิดปฏิกิริยาต่างๆ มากมายในวงกว้าง ไม่ได้รับการยอมรับ ผู้ทำก็มีแต่จะเสื่อมเสียไปเอง

ดังนั้นไม่มีใครทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยนไปได้ และไม่ต้องตื่นกลัวว่าถ้าคำสอนของสายใดที่ตนเห็นว่าไม่ถูก ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก ก็จะทำให้พระธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยนไปอีก
เพราะตราบใดยังมีพระไตรปิฎกอยู่ เราก็ยังมีแม่แบบให้อ้างอิงศึกษาไปชั่วกาลนาน ไม่มีใครที่จะทำให้คนอื่นเชื่อตามไปได้ทั้งหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะมีอิทธิพลมากเพียงใด

แม้ผู้มีอิทธิพลสูงสุดในพุทธเถรวาทในรอบ 2,000 ปีที่ผ่านมา คือ 
พระพุทธโฆษาจารย์ พระภิกษุชาวอินเดียในราว พ.ศ. 900 เศษได้เดินทางไปเกาะลังกาและเป็นผู้เรียบเรียงและแปลคัมภีร์อรรถกถา 
(คัมภีร์ที่ใช้อ้างอิงในการอธิบายขยายความพระไตรปิฎก) เกือบทั้งหมดจากภาษาสิงหลเป็นภาษาบาลี การทำความเข้าใจพระไตรปิฎกของชาวพุทธในปัจจุบันจึงได้รับอิทธิพลจากพระพุทธโฆษาจารย์อย่างมาก 

แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับท่านในทุกประเด็น เพราะเราสามารถศึกษาจากพระไตรปิฎกโดยตรงได้ ดังเช่นที่ท่านพุทธทาสก็ไม่เห็นด้วยกับพระพุทธโฆษาจารย์ในหลายประเด็น อาทิ หลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์อธิบายไว้ในอธิบายไว้ในคัมภีร์อรรถกถาว่า เป็นปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ ผ่านการเวียนว่ายตายเกิด แต่ท่านพุทธทาสปฏิเสธไม่เห็นด้วย บอกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทแบบวงจรในชาตินี้

หรือแม้ตัวท่านพุทธทาสเอง ซึ่งมีชื่อเสียงมาก มีลูกศิษย์ลูกหามากมายจะปฏิเสธเนื้อหาพระไตรปิฎกส่วนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ นรกสวรรค์ เทวดานางฟ้า ยักษ์ บอกตัดทิ้งได้ 60% แต่จริงๆ ท่านก็ไม่ได้ตัดทิ้ง พระไตรปิฎกก็ยังอยู่เหมือนเดิม และก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะไปเชื่อตามท่านหมด ไม่ว่าท่านพุทธทาสจะมีอิทธิพลมากเพียงใด มีศิษยานุศิษย์มากเพียงไหน ก็ไม่มีทางไปตัดพระไตรปิฎกทั้ง 60% ตามใจชอบได้จริงๆ


“ พลังสร้างสรรค์ทำให้เจริญ พลังทำลายทำให้เสื่อม ”


ขนาดมดตัวน้อย..ยังไม่เกี่ยงสีสัน ช่วยกันขนอาหาร
"สามัคคีคือพลัง"

ชาวพุทธที่ตื่นตัว ซึ่งมีอยู่ไม่มากเลย ควรจะใช้พลังของตนในทางสร้างสรรค์ โดยชักชวนประชาชนมาปฏิบัติในแบบที่ตนชอบให้ได้มากที่สุด ถ้าทุกคนทำอย่างนี้จะส่งผลเป็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
- จะชอบศึกษาพุทธเชิงวิชาการ
- จะชอบพุทธแบบสังคมสงเคราะห์
- จะชอบพุทธเชิงศิลปวัฒนธรรม
- จะชอบปฏิบัติแบบพุทโธ สัมมาอะระหัง พองหนอยุบหนอ
ทุกแบบดีทั้งนั้น เพราะคนเรามีจริตอัธยาศัยต่างกัน 
ใครชอบปฏิบัติแบบไหนก็ไปสายนั้น

อย่าหลงประเด็นมาทะเลาะกันเอง เพราะข้าศึกจริงๆ คือ อบายมุข ที่กำลังรุกคืบกลืนกินสังคมไทยไปทุกขณะ สุรายาเสพติดจะท่วมเมืองอยู่แล้ว ศาสนิกอื่นก็กำลังทำงานขยายศาสนิกของตนอย่างเต็มกำลัง
ชาวพุทธที่ตื่นตัวที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ไม่ควรใช้พลังของตนไปในทางทำลาย มุ่งโจมตีบั่นทอนกำลังกันเอง จนสังคมเอือมระอาว่า ชาวพุทธมีแต่ทะเลาะกัน ทำให้มีผู้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพระพุทธศาสนาอาจสาบสูญไปจากประเทศไทย เมื่อถึงตอนนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับการย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำว่า
“ ฉันถูกๆๆๆๆ เธอผิดๆๆๆๆ ”
ขอให้ระลึกถึงพุทธโอวาทที่ว่า
“ สุขา สงฺฆสฺส สามัคคีความสามัคคีของหมู่คณะ ทำให้เกิดสุข ”

“ยังเข้าไม่ถึงแล้วมาทะเลาะกัน ก็เป็นเหมือนตาบอดคลาช้าง”
ลองคิดดูว่า ถ้าชาวพุทธที่ตื่นตัวมุ่งโจมตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังเช่นที่เคยปรากฏ...

-โจมตีท่านพุทธทาสที่ปฏิเสธนรกสวรรค์ ให้ฉีกพระไตรปิฎกทิ้ง 60%
-โจมตีพระป่าสายหลวงตามหาบัวที่บอกว่าพระอาจารย์มั่นมีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาเยี่ยม แสดงว่านิพพานแล้วยังมีตัวตนอยู่
-โจมตีหลวงพ่อฤาษีลิงดาที่สอนว่า ถอดกายไปสู่แดนนิพพาน พบว่ามีสระ มีวิหาร มีหอระฆัง แสดงว่านิพพานเป็นภพภูมิ
-โจมตีสายธรรมกายที่ไปบูชาข้าวพระพุทธเจ้า แสดงว่านิพพานเป็นภพภูมิ
-โจมตีสายพองหนอยุบหนอว่าสอนแบบท่องจาตามตารา ไม่ได้เข้าถึงจริง เป็นลูกศิษย์พระพม่า ดูถูกสายธรรมปฏิบัติของไทย
-โจมตีคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ที่รับเงินทองที่ญาติโยมถวายว่าผิดพระวินัย นิสสัคคิยปาจิตตีย์
-โจมตีชาวพุทธที่เชื่อว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ว่าเพี้ยน ปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ทาพระธรรมวินัยให้วิปริต ต้องขจัดให้หมดไป
สวรรค์มีจริงไหม นิพพานมีภาวะเป็นอย่างไร ตั้งใจเจริญมรรคมีองค์ 8
เข้าถึงแล้วก็รู้เอง ยังเข้าไม่ถึงมานั่งทะเลาะกันก็เป็นเหมือนตาบอดคลำช้าง

ถ้าชาวพุทธที่เป็นลูกศิษย์ของสายต่างๆ มุ่งแต่โจมตีกัน เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองยึดถือว่าถูกต้อง สายที่ต่างผิดอะไรจะเกิดขึ้น ? พระพุทธศาสนามีแต่จะแตกแยก จนมีโอกาสเสื่อมสูญไปจากประเทศไทย การโจมตีกันและกันนั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนาเลย มีแต่ทำให้เกิดความแตกแยก ทาให้พระพุทธศาสนาเสื่อม

ผู้กระทำนอกจากไม่ได้บุญแล้ว ยังแบกบาปมหันต์ เพราะการสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ก็คือ การทำสังฆเภท เป็น

อนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมหนักที่สุด ปิดสวรรค์ ปิดนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่กระทำกรรมนี้ ตายแล้วเที่ยงแท้ที่จะลงอเวจีมหานรก


“ชาวพุทธต้องสามัคคีกัน”

ความสามัคคี นำไปสู่ความเจริญ ความสงบสุขร่มเย็นของสังคม


เสียงเรียกร้องจากหัวใจชาวพุทธ!!!??? เสียงเรียกร้องจากหัวใจชาวพุทธ!!!??? Reviewed by ความจริงวันนี้ั on 04:01 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.